Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะ แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่

Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน โดยมีความหมายว่า สัญญาที่มีการโปรแกรมเขียนอยู่ภายในตัวบล็อกเชน เป็นสัญญาที่มีการทำงานโดยอัตโนมัติ และไม่ต้องมีบุคคลกลางเพื่อตรวจสอบ ทำให้ลดการขัดข้องและเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินการสัญญา โดยสามารถประยุกต์ใช้ในการทำสัญญาต่างๆ เช่น สัญญาการค้าขาย สัญญาการจ้างงาน สัญญาการเช่าห้อง และอื่นๆ ที่มีการเขียนรูปแบบการทำงานอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมในตัวบล็อกเชน โดย Nick Szabo เป็นผู้คิดค้นและเสนอไอเดียเกี่ยวกับ Smart Contract ครั้งแรกในปี 1994 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการขัดข้องและเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินการของสัญญา ในต่อมาบล็อกเชนก็ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการใช้งาน Smart Contract อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน


ในระบบ Blockchain ทุกคนเป็นพยานตั้งแต่เกิดขึ้นของสัญญาฉบับนี้และการทำสัญญาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย เป็นเหตุผลที่เกิดคำว่า "สมาร์ทคอนแทรคต์" โดยมันคือเงื่อนไขที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในโลกดิจิทัล

Vitalik Buterin โปรแกรมเมอร์เบื้องหลังของ Ethereum อายุ 22 ปีได้นิยาม "สมาร์ทคอนแทรคต์" ว่าเป็นการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์หรือเงินตราเข้าสู่โปรแกรมและโปรแกรมจะทำงานโดยอัตโนมัติ ณ จุดหนึ่งโปรแกรมจะทำการตรวจสอบเงื่อนไขว่าสินทรัพย์นั้นควรถูกส่งต่อให้กับใครหรือถูกโอนคืนให้กับเจ้าของ

ในทางกลับกัน Smart Contract นั้นจะไม่ใช่ตู้กดน้ำจริงๆ แต่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนโดยใช้โค้ด โดยที่โค้ดนี้จะถูกอัพโหลดลงบน Blockchain และเมื่อมีการเปิดใช้งาน Smart Contract จะทำงานอย่างอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ในโค้ดนั้นๆ โดยไม่มีคนควบคุมได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดใน Smart Contract หลังจากที่มันถูกอัพโหลดขึ้นบน Blockchain แล้ว ดังนั้น Smart Contract จึงมีความเชื่อถือได้เช่นเดียวกับการที่เงินถูกเก็บไว้ในตู้กดน้ำ และถูกจ่ายตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

ในการทำงานของ Smart Contract จริงๆ เราจะต้องเข้าใจการทำงานของบล็อกเชน (Blockchain) ก่อน โดย Blockchain เป็นระบบที่ใช้เก็บข้อมูลโดยที่ไม่ต้องมีผู้กำกับหรือบุคคลกลางเข้ามาเพิ่มเติมข้อมูล ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสไว้ในแต่ละบล็อก และมีบล็อกที่เชื่อมต่อกันเป็นเหมือนโซ่ของบล็อก (Block chain) โดยทุกๆ บล็อกจะเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆ ไว้ เช่น การโอนเงิน การตั้งค่าสัญญา การเพิ่ม/ลบข้อมูล ฯลฯ


ที่มา- https://www.dreamstime.com/how-smart-contracts-work-infographic-safe-transactions-blockchain-image216350768


Smart Contract ก็คือโค้ดที่ถูกเขียนขึ้นมาในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจะรวมการเข้ารหัสของ Blockchain และส่วนประกอบอื่นๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถทำงานอย่างถูกต้องและปลอดภัยต่อการโจมตีได้ โดยเมื่อ Smart Contract ถูกเขียนขึ้นแล้ว จะถูกนำไปรวมกับข้อมูลของธุรกรรมในบล็อกนั้น และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับ Smart Contract จะถูกบันทึกลงในบล็อกนั้นๆ ด้วย ซึ่งมันจะเหมือนกับเรามีฟังก์ชันของการทำงานต่างๆ ไว้บนบล็อกเชน เราสามารถเรียกใช้งานฟังก์ชันเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องมีการติดต่อกับบุคคลกลางหรือตรวจสอบโดยผู้กำกับ

นอกจากความปลอดภัยที่ดีกว่าและต้นทุนที่ถูกกว่าแล้ว จุดประสงค์ของ Smart Contract ยังเป็นการเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรมด้วยสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกรรมทางธุรกิจ เช่นการซื้อขายสินค้าหรือบริการ การเปลี่ยนแปลงสัญญาธุรกิจ หรือการทำธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากสัญญาอัจฉริยะจะถูกเก็บบันทึกไว้ในระบบบล็อกเชนและสามารถตรวจสอบได้โดยทุกคน ทำให้การทำธุรกรรมเป็นการเชื่อถือได้มากขึ้น และลดปัญหาการโกงหรือการกระทำผิดกฎหมายได้เป็นอย่างมาก

Decentralized Cryptocurrency Protocol นั้นสามารถนับเป็น Smart Contract ได้ เพราะว่ามีการกำหนดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ในการทำธุรกรรมด้วยโค้ดภาษาโปรแกรมที่ถูกต้อง และมีการทำงานอย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการเข้าไปแก้ไขโค้ดโดยตรง

นอกจากนี้ Decentralized Cryptocurrency Protocol ยังมีการรักษาความปลอดภัยแบบกระจายศูนย์ด้วยการเก็บข้อมูลไว้กับ Node ต่างๆ ทั่วโลก มีการเข้ารหัสข้อมูลด้วยอัลกอริธึม และมีการจำกัดกลุ่มคนที่น่าเชื่อถือ (Validator) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการบันทึกบล็อกและตรวจสอบข้อมูล เพื่อป้องกันการเป็นโจทย์ (Byzantine Fault Tolerance) และได้รับรางวัล (Reward) ในการทำงานในแต่ละบล็อกด้วย ซึ่งนับได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ Decentralized Cryptocurrency Protocol นั้นเป็น Smart Contract ที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือกว่าสัญญาแบบดั้งเดิมที่เป็นกระดาษ

Protocol หมายถึงชุดข้อกำหนดหรือข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์หรือคอมพิวเตอร์ต่างๆ ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดย Protocol จะกำหนดวิธีการที่อุปกรณ์หรือคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารกันได้ เช่นการกำหนดรูปแบบของข้อมูลที่จะส่งผ่าน, วิธีการเชื่อมต่อและกำหนดโครงสร้างของข้อมูล เป็นต้น

โดย Protocol จะถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์กรหรือชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ เพื่อให้มีการใช้งานร่วมกันได้ทั่วโลก นอกจากนี้ Protocol ยังเป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารระหว่างระบบเชิงลึก เช่น Blockchain และโปรโตคอลต่างๆ ที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หรือโครงสร้างที่มีความซับซ้อนและมีการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น

การใช้งาน Smart Contract เป็นหนึ่งในความเป็นเลิศของ Ethereum โดยใน Smart Contract นั้นจะรวมการเขียนโปรแกรม (โค้ด) กับสัญญาทางกฎหมาย ซึ่งมีเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ในการดำเนินการ โดยสัญญานี้จะถูกเก็บบนบล็อกเชนและทำให้การปฏิบัติตามสัญญาเป็นไปอย่างโปร่งใสและทุกคนสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการดำเนินการตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ตกลงไว้หรือไม่

ผู้ใช้งานสามารถใช้ Smart Contract ได้หลากหลายรูปแบบเช่นในการทำสัญญาซื้อขาย, การกู้ยืมเงิน, การประมูลสินค้า และอื่นๆ โดยการเขียน Smart Contract นั้นสามารถกำหนดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ต่างๆได้ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ โดยอาจจะมีการกำหนดเงื่อนไขในการชำระเงินหรือการส่งสินค้า เพื่อให้การดำเนินการตามสัญญาเป็นไปอย่างโปร่งใส และผู้ใช้งานจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประมวลผล Smart Contract ด้วยเหรียญ ETH เมื่อมีการดำเนินการบนบล็อกเชน โดยการเสียค่าใช้จ่ายนี้จะเป็นการชำระค่า Gas หรือค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน Ethereum นั่นเองครับ

ในความเป็นจริงแล้ว Smart Contract มีข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนนำมาใช้ ดังนี้

- ความเสี่ยงของโค้ด: โค้ดของ Smart Contract อาจมีข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้งาน แม้ว่าจะมีการทดสอบก่อนเปิดใช้งานแต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าโค้ดจะไม่มีข้อผิดพลาด

- การแก้ไข Smart Contract: หากต้องการแก้ไข Smart Contract ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากผู้ใช้งานหลายๆ คน ซึ่งอาจทำให้การแก้ไข Smart Contract นั้นยากและล่าช้า

- ความถูกต้องของข้อมูล: Smart Contract จะทำงานได้อย่างถูกต้องเมื่อข้อมูลที่รับเข้ามาถูกต้อง หากมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเปลี่ยนแปลงในภายหลังจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถูกต้อง

-ความเป็นส่วนตัว: Smart Contract จะเก็บข้อมูลเป็นระบบบล็อกเชนที่สาธิตการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลที่เก็บไว้ถูกเข้าถึงโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต และอาจเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน

อีกปัญหาหนึ่งคือความยากในการแก้ไข Smart Contract หากมีปัญหาหรือความผิดพลาดจากโค้ด Smart Contract ต้องการการแก้ไขที่ถูกต้องและมีความปลอดภัย ซึ่งการแก้ไขโค้ด Smart Contract อาจจะยากและต้องการเวลานาน และมีผลกระทบต่อผู้ใช้งานที่มีการใช้ Smart Contract นั้นๆอยู่แล้ว ทำให้การแก้ไขโค้ด Smart Contract เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องการความระมัดระวัง

นอกจากความเสี่ยงที่อาจเกิดจากความผิดพลาดของโค้ด Smart Contract แล้ว ยังมีปัญหาในเรื่องของความสามารถในการดำเนินการของ Smart Contract กับเหตุการณ์ภายนอก ซึ่งอาจทำให้ Smart Contract ไม่สามารถดำเนินการตามที่คาดหวังไว้ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย การแตกต่างในกฎหมายของประเทศต่างๆ หรือเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม และอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือและการยอมรับของ Smart Contract จากผู้ใช้งาน หากผู้ใช้งานไม่ไว้วางใจและไม่มีความมั่นใจใน Smart Contract นั้น อาจเป็นปัญหาในการนำไปใช้งานจริง และอาจส่งผลให้สูญเสียความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของระบบบล็อกเชนอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Smart Contract กำลังเป็นแนวโน้มที่หลายกลุ่มและธุรกิจทั่วโลกเริ่มสนใจ และยังมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้การใช้งาน Smart Contract มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้นในอนาคต

0xNapakkraj

ฉันชอบบิทคอยน์และสกุลเงินคริปโต facebook twitter

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า