ปัญหาของ Blockchain Dilemma ตอนนี้ คือ Decentralization, Scalability, Security ซึ่งทุกเชนพยายามที่จะแก้แต่ก็ยังไม่มีเชนไหนทำสำเร็จ เพราะคนเข้ามาใช้งานถือว่ายังน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับประชากรโลกแต่เชนก็ล่ม รับไม่ไหว เกิดความล่าช้าและ Gas fee สูงมากๆ ในหลายๆ ช่วงเวลา อีกปัญหาคือการให้บริการหลักๆ ซึ่งตอนนี้มี 3 แบบ
1) Public blockchain เช่น ETH EVM ต่างๆ และ Non-EVM เช่น SOL, ADA, NEAR เป็นต้น คือเปิดสาธารณะให้ Dapp เข้ามาพัฒนา แต่ก็ต้องทำบน design และเงื่อนไขต่างๆของเชนนั้นๆ เช่น native token, gas fee, speed, finality เป็นต้นซึ่งก็จะเห็นว่า ถ้า dapp ที่อยากทำกระดานซื้อขาย Spot บน Ethereum ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ ถ้ากดซื้อตอน 3000$ อาจจะไป match order ที่ 3100$ หรือ order fail เพราะราคาเปลี่ยนไปแล้ว เพราะ speed ไม่ดีพอ ซึ่งก็น่าจะไม่สามารถแข่งขันกับ CEX เช่น Binance ได้
2) Application-Specific Blockchain เช่น Polkadot Cosmos Octopus(ของ NEAR) เป็นต้น
3) Enterprise Blockchain อันนี้จะเป็นเชน สำหรับภาคธุรกิจหรือเอกชนที่ต้องการมีไว้ใช้ภายในองค์กร ตอนนี้จะยังไม่ขอพูดถึงครับ จะขอพูดถึงปัญหาใหญ่สุดก่อน คือ scalability
NEAR ถือเป็นหนึ่งในเชนที่ออกแบบและสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อพยายามแก้ไข Dilemma และรองรับ Mass Adoption ของโลก Crypto โดย NEAR ได้ทำ research ร่วมกับ Ethereum ในการคิดค้น Shading เพื่อแก้ปัญหาการ Scaling ที่โลกกำลังเจอ และแล้ว NEAR เริ่มต้น 1 Shard ได้ speed 800-1000 TPS
จากนั้นก็ได้ Implement Sharding สำเร็จครั้งแรกเมื่อ Q4 2021 เป็นจำนวน 4 Shard โดยตั้งชื่อว่า Nightshade ทำ TPS ได้ 2500-3000TPS ซึ่งตรงนี้เริ่มใกล้เคียงกับ Visa Payment Network แล้ว แต่ยังไม่จบ ในปีนี้ NEAR มีแผนจะ upgrade ใน Q4 2022 เป็น Dynamic Resharding
ทำให้ TPS เพิ่มได้อย่างไม่จำกัด (Infinite Scale) (ถ้า Node มีพอ) ซึ่งถ้าทำสำเร็จจะถือเป็นการแก้ปัญหา Scaling ในโลกได้จริงครั้งแรก ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในงานวิจัย สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า NEAR คือ ETH 2.0 ที่เสร็จแล้ว
Shading ทำงานยังไง ถ้าสมมุติให้ NEAR มี 100 Validator nodes ทุก node ต้องตรวจสอบทุกธุรกรรมพร้อมๆ กันไป วิธีปกติแบบนี้ TPS จะอยู่ที่ 800-1000TPS ไม่ว่าจะเพิ่ม node เป็น 10x 100x ทุก node ก็ยังต้องทำ tx ไปพร้อมๆกันซ้ำๆกันก็จะไม่ทำให้มันเร็วขึ้น แต่เมื่อมี 4 Shard ตัว Nodes จะถูกแบ่งกลุ่มการทำงานออกเป็นกลุ่มละ 25 Nodes(4x25=100) และเมื่อมีงานมา 4 ธุรกรรม ก็จะถูกแบ่งให้แต่ละ shard ทำคนละ 1 tx จะเห็นว่าใน 1 ช่วงเวลาเท่าเดิม 4 Shard จะทำธุรกรรมได้มากขึ้น 4 เท่า(ทางทฤษฎี)แต่ในทางปฏิบัติจะได้ ไม่ถึง 4 เท่า เพราะต้องมีการสื่อสารระหว่าง Node
สรุป จะเห็นได้ว่ามี Shard เพิ่มก็จะยิ่งทำให้ Speed สูงขึ้นเพราะงานถูกกระจายออก และ ค่า gas ก็จะมีแนวโน้มถูกลงเพราะรองรับธุรกรรม tx ได้มาก User ไม่ต้องอัด Gas แข่งกันแย่ง Block ในการทำธุรกรรม